....จะเอาเรื่องราวที่เล่าเกี่ยวกับชีวิต และเอาเรื่องชีวิตมาเล่าเป็นเรื่องราว อย่างน้อยก็ให้เห็นเส้นทางชีวิตที่แตกต่าง ในการดำรงชีพ แต่สุดท้ายก็มาบรรจบที่จุดเดียวกัน....

 

สายน้ำที่ไหลบรรจบ

  ที่ป้ายรถเมล์ท่าน้ำจังหวัดนนทบุรี ไอ้แหลม ไอ้ทอง ไอ้เหนียว สามสหายช่างไฟฟ้า กับ ไอ้อ้วน ไอ้ชัย สองสหายช่างยนต์ กำลังรอรถเมล์สาย63เพื่อจะกลับบ้าน วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของเทอมสุดท้ายระดับ ปวช.3 ระหว่างรอรถ ทุกคนออกความคิดเห็นว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะสรวมเสื้อสถาบันแห่งนี้ เราจะขอทิ้งทวน เจอคู่อริที่ไหนเราจะเล่นมัน ตลอด3ปีมานี่เราไม่เคยไปทำร้ายใครก่อนเลย มีครั้งที่เลวร้ายที่สุดก็ตอนอยู่ปี1พวกเรายกห้องไม่เรียนหนังสือแต่ออกไปตามล่าคนที่ทำร้ายเพื่อนเราที่แยกเกษตร สาเหตุเพราะไอ้เหนียวถูกตบ เสื้อช๊อพ.... แต่วันนี้เราจะขอทิ้งทวน นัดหมายเรียบร้อยทุกคนตกลง เวลาผ่านไป15นาที นาฬิกาบอกเวลา 14.45น รถประจำทางสาย63ที่พวกเรารอก็มาถึง พวกเราขึ้นไปนั่งจับจองที่นั่งหลัง ทั้งหมด กระเป๋ารถเมล์เดินมาเก็บค่าโดยสารจากพวกเราซึ่งค่อนข้างจะคุ้นเคยกันเห็นหน้ากันประจำตลอด3ปี รถวิ่งมาถึง สามแยกนนท์ มีนักเรียนช่างกลขึ้นมา4คนดูลักษณะแต่งตัวแล้วไม่ใช่พวกเราแน่นอน ...เอาละวะ วันนี้ได้ทิ้งทวนสมใจแน่ พวกเราทุกคนหันมองกันแล้วพยักหน้าให้กัน ทั้ง4คนที่ขึ้นมาใหม่ขึ้นตรงประตูหลังแต่พอเห็นพวกเรานั่งอยู่ ก็หันกลับจะลงรถ แต่ก็สายเสียแล้ว รถออกจากป้ายแล้ว ทั้งหมดจึงเดินไปยืนประตูหน้า ไม่ยอมนั่งทั้งที่มีที่ว่างให้นั่งอีกหลายที่ ... เฮ้ย วันนี้บางซ่อนก็สอบวันสุดท้ายเหมือนกัน ไอ้ทองกระซิบเพื่อนๆ ไอ้แหลมคนที่มีประสบการณ์เรื่องต่อยตีมากกว่าคนอื่นพยักหน้า ไอ้ทอง เป็นคนที่บุคลิกน่ากลัวที่สุดในบรรดาสหายที่ร่วมเดินทาง ผมหยิก ตัวดำ ตาพองขาว เป็นลักษณะของอันธพาลก็ว่าได้ แต่แท้จริงแล้วไอ้ทองไม่เคยทำร้ายใครเลย  วันนี้ไอ้ทองจะแสดงเป็นตัวเปิดงาน มันลุกขึ้นยืน แล้วเดินส่ายอาดๆทำทีว่าข้านี่แหละตัวเก๋า เดินไปยืนหยุดมองหน้านักเรียนช่างกลคู่อริทีละคน ซึ่งทั้งหมดรู้ตัวแล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองไม่มีใครสบตาไอ้ทอง ...ไอ้ทองข่มขวัญได้ผล มันเดินกลับมานั่ง ไอ้เหนียวออกความคิดเห็น ...เดี๋ยวรถวิ่งถึงแคลายถ้าพวกมันไม่ลงเราจะเล่นมันเลย ทุกคนพยักหน้า บรรยากาศบนรถยามนี้ดูเหมือนผู้โดยสารที่มีอยู่ราว 20กว่าคน เริ่มรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนทุกคนเตรียมตัวรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด กระเป๋ารถเมล์ ปกติจะอยู่ประตูหลังกลับไปนั่งเบาะหน้าใกล้คนขับ.....

...รถวิ่งผ่าน ซ.เรวดี อีก2ป้าย ก็จะถึงแคลายแล้ว ..ไอ้แหลมว่าไง..ไอ้เหนียวถามไอ้แหลมผู้ที่ขณะนี้ทำหน้าที่เป็นคนคุมเกม ... ไม่ตี...ไม่เล่น ..พวกนี้เด็กเรียนเหมือนพวกเรา...เขาไม่ใช่โจทย์เรา..ถึงเขาเรียนบางซ่อน แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรเรา...นี่เป็นคำที่ออกจากปากไอ้แหลม ...ทุกคนโล่งอก ไอ้ชัย ไอ้อ้วน ผู้ที่พร้อมจะทำตามเพื่อนสั่งหันมายิ้มให้ไอ้แหลม ....กูก็ว่า งั้น พวกนี้เด็กเรียนทำไปก็สงสาร อกเขาอกเรา ไอ้เหนียวแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง ...... เฮ้อ...มึงรู้ไหม ในนั้นมี คนนึงอยู่ซอยเดียวกับกู ต้องเดินผ่านบ้านมันทุกวัน ถ้าเล่นมัน....ตายเลยกูสร้างโจทย์ในซอย...ไอ้ทองพูดบ้าง ดูเหมือนว่าอาการและเสียงที่พวกเราคุยกัน เล็ดลอดให้ สี่คนที่อยู่ข้างหน้าได้ยิน แล้วหันมามองทางพวกเราที่นั่งอยู่ ไอ้แหลมยิ้มแล้วพยักหน้าให้ ..รถวิ่งผ่านมาถึง ซ.วัดบัวขวัญ ไอ้ทองลงประตูหลัง ส่วนประตูหน้า ช่างกลคู่อริลงพร้อมไอ้ทอง 1คน เป็นไปตาม ที่ไอ้ทองพูด .. สถาณการณ์เริ่มผ่อนคลาย รถวิ่งมาถึงแยกบางเขน โดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ไอ้อ้วนลงที่ป้ายนี้ พร้อมทั้งช่างกลคู่อริอีกสามคน ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านตนเอง เหลือ ไอ้เหนียว ที่จะต้องลงป้ายเสนา และไอ้แหลม ไอ้ชัยที่จะต้องไปลง ปากทางลาดพร้าว 

   ...ที่วิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง ไอ้แหลม ไอ้เหนียวมากรอกใบสมัครเพื่อสอบเข้าเรียนที่นี่ ขณะกำลังนั่งพัก ไอ้แหลมก็สกิด ไอ้เหนียวให้ดูใครบางคน แล้วถามไอ้เหนียวว่า จำคนนี้ได้ไหม  ... ไอ้เหนียวบอกจำได้ นี่เป็นคนหนึ่งที่เราจะตีเขาวันนั้น ไอ้แหลม ยิ้มพยักหน้าตอบรับเพื่อน .... ผลการสอบเข้าออกมาแล้ว ไอ้เหนียวสอบเข้าไม่ได้ ส่วนไอ้แหลมสอบได้ คณะอุตสาหกรรมศิลป์ วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียน ตามธรรมเนียม ก็ต้องมีการแนะนำตัวกัน เพื่อให้รู้จักกันก่อน เริ่มแนะนำตัวกันตามตัวอักษร จาก ก.ไก่ จนถึง ฮ.นกฮูก จนมาถึงคิวไอ้แหลม "นายชาติชาย ภาคีนุยะ ชื่อเล่นชาติ หรือชายก็ได้ครับ "ชายกระโปรงหรือเปล่า" มีเสียงผู้หญิงแซวมา ไอ้แหลมไม่สน แนะนำตัวต่อ ผมจบมาจาก วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาวิทยาเขต เทคนิคนนทบุรี หรือช่างกลนนทบุรี หรือ ช.ก.น. ช่างไฟฟ้าครับ   การแนะนำตัวผ่านไปที่ละคน จนมาถึง "ผมชื่อ นาย เดโช โรจนพุทธิ ชื่อเล่นหน่อย เรียนจบช่างยนต์ จากโรงเรียนช่างกลบางซ่อนครับ" ไอ้แหลมหันไปมองต้นเสียงที่มาจากหลังห้อง...

...ที่โรงอาหาร ไอ้แหลมเห็นไอ้หน่อยนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว จึงยกข้าว เข้ามาร่วมโต๊ะแล้วพูดทักด้วย ..หน่อยเรานั่งด้วยคนนะ ....   ...ได้ซิชาติ.. นายจบนนท์เหรอ ไอ้หน่อยตอบรับแล้วถามต่อ 

...ใช่ เราจบ นนท์ ..ไอ้แหลมซึ่งขณะนี้เป็นไอ้ชาติไปแล้วตอบรับ      ...เราจบบางซ่อน...ไอ้หน่อยพูดต่อ  ทั้ง ไอ้แหลมและไอ้หน่อยมองหน้ากัน แล้วต่างคนก็ยื่นมือมาจับมือกันแสดงความเป็นมิตรไมตรีต่อกัน

..เฮ้ยหน่อย นายจำเราไม่ได้เหรอ... ไอ้แหลมถาม  ... .. เราเคยเจอกันด้วยเหรอ  ไอ้หน่อยตอบ

..วันนั้นนายรู้ไหมว่าเราเกือบตีนาย บนรถเมล์สาย63 วันสุดท้ายของการสอบ น่ะ ... ไอ้แหลมฟื้นความจำ

..เออ ใช่ วันนั้นมีเด็กนนท์ มามองหน้า เราก็คิดอยู่ว่ามีเรื่องแน่ แต่เราจำหน้าไม่ได้ มีนายอยู่ด้วยเหรอ..ไอ้หน่อยเริ่มที่จำได้บ้างแล้ว ..แล้วพูดต่อ  ..ขอบใจนายมาก ชาติ วันนั้นถ้าเรามีเรื่อง เราคงต้องจบอนาคตเราแน่ เพราะพี่สาวคาดโทษเอาไว้ถ้ามีเรื่องอีกจะไม่ให้เรียนหนังสือ.....

ไอ้แหลมนึกในใจ... เกือบไปแล้วเราเกือบทำลายอนาคตเพื่อนแล้ว

      วันนี้เป็นวันฉลองเกษียณอายุราชการของอาจารย์ที่พวกเราเคารพต่างก็ทยอยกันมา เสียงทักทายกันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนหลายคนที่เป็นครูอยู่ห่างไกลก็ยังมาร่วมงาน ไอ้แหลมขณะนี้วัยเข้าสู่กลางคนแล้วเป็นผู้หนึ่งที่รับหน้าที่ตามเพื่อนๆให้มาร่วมงาน กำลังโทรศัพท์เร่งไอ้หน่อยซึ่งขณะนี้รับราชการเป็นครูอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านปทุมธานีให้มาร่วมงานให้ทันเวลาร้อง เพลงมาร์ช ของคณะ ขณะที่นั่งรอเพื่อนก็หยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน เห็นข่าว โรงเรียนอาชีวะเก่าแก่สองโรงเรียนยกพวกตีกัน นึกย้อนอดีตไปเมื่อเกือบ30ปีที่แล้วเมื่อครั้งที่ยังเป็นนักเรียนช่างกล อยู่ในกลุ่มของโรงเรียน "สี่เฟืองทอง" ช่างไม่แตกต่างกันเลยกับปัจจุบัน ที่จริงแล้วถ้าเราจะเปรียบ โรงเรียนอาชีวะทั้งหมด ก็เปรียบได้ดั่งสายน้ำ ที่เกิดจากขุนน้ำเดียวกัน คือองค์พระวิษณุ เทพที่ประสิทธิประสาทวิชาช่าง เมื่อสายน้ำเริ่มก่อเกิดไหลออกจากขุนน้ำก็ไหลลัดเลาะลดเลี้ยวไปตามเส้นทาง สุดท้ายก็ต้องมาบรรจบกัน เป็นมหานที ที่ทำคุณประโยชน์ต่อมวลแมกไม้ เหมือนกับนักเรียนอาชีวะ เมื่อพ้นวัยเรียน เข้าสู่วัยทำงานก็ต้องมาเจอะเจอกันหนีไม่พ้นที่จะทำงานร่วมกัน ร่วมสร้างสรรค์คุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ดั่งมหานทีสร้างความชุ่มชื้นให้กับมวลหมู่แมกไม้  แต่ถ้าสายน้ำมีสีคนละสี เข้าห้ำหั่นอวดสีของตัวเองว่าดีกว่า แน่กว่า ไม่มีใครยอมใคร ทั้งที่เริ่มต้นมาจากสีเดียวกัน เมื่อยามที่สายน้ำมาบรรจบเป็นมหานที จะมีพลังพอที่จะสร้างประโยชน์ให้กับใครได้อีกหรือ ..... ไอ้แหลมกำลังคิดเพลินๆ มีมือเข้ามาจับไหล่ทำให้ไอ้แหลมถึงสะดุ้ง..."เฮ้ยชาติ..มาแล้วโว้ย เป็นไงมึงจะกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่ พรุ่งนี้กินข้าวกับกูก่อนอย่าเพิ่งกลับนะมึง" ไอ้หน่อยมาถึงแล้วจับไหล่ทักทายไอ้แหลม  จากนั้นก็เดินเข้าห้องงานเลี้ยง ...ไอ้แหลมมองตามเพื่อนที่ครั้งหนึ่งเกือบทำร้ายเพื่อนคนนี้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เกือบที่จะทำลายอนาคตเพื่อนเพราะความคึกตะนองที่คิดจะแบ่งสีน้ำ........ 

"สหายใหม่"  21/02/52     

 

ผู้ด้อยโอกาส(อีกมุมนึง)

 ...วันนี้เราออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ช่วงบ่ายแล้ว เราจึงต้องถึงที่พักในช่วงเย็น หมู่บ้านอยู่ในหุบเขาของต.วัดจันทร์อ.แม่แจ่ม อากาศในเดือน พฤศจิกายน ยิ่งหนาวสะท้าน ประปาภูเขาที่ไหลผ่านดอยมาสองสามลูกแตะกายครั้งแรกเป็นต้องสะดุ้ง หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายกินข้าวกันเรียบร้อย ชาวบ้านที่รู้ข่าวว่าเรามา หลังจากกินข้าวเย็นแล้วต่างก็เวียนมาทักทาย ยื่นมือเข้ามาสัมผัส พร้อมกับพูดว่า"ตัมบรึ๊" แล้วก็มานั่งล้อมวงพุดคุยกัน น้ำชาร้อนได้ที่พอดีรินแจกกันทั่วครบทุกคน เกลือป่นถูกหยิบออกมาจากกระปุกแจกจ่ายให้กับทุกคนไม่เว้นเรา กินน้ำชาใส่เกลือ นี่เป็นเรื่องปกติของชาวปกาเกอญอ ในแถบนี้ พูดคุยกันอย่างสนุกสนานสนิทสนมเหมือนเครือญาติที่จากกันมานาน เวลาล่วงเลยจนเริ่มดึกแล้ว หลายคนขอตัวกลับที่พัก เพื่อที่จะพักผ่อนเอาแรงไว้ลุยสวน ลุยไร่ในเช้าของวันใหม่

 ใกล้รุ่งแล้วเสียงชะนีร้องโหยหวนในป่าข้างหมู่บ้าน เสียงครกตำข้าวเริ่มดังพร้อมกับแสงริบหรี่ของตะเกียงน้ำมันที่เล็ดรอดมาตามพื้นเรือน เสียงกระดิ่งที่คอวัวดังมาตามทางเดิน พ่อบ้านที่นี่เริ่มจูงวัวไปปล่อยและเริ่มเข้าสวนกันแล้ว  รอเวลาสายที่แม่บ้านจะออกมาสมทบพร้อมกับนำข้าวปลาอาหารมาให้กิน

 

 นี่คือวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ในโครงการ บอกว่าเป็น "ผู้ด้อยโอกาส" ที่เราต้องมาช่วยเหลือ เคยถามผู้ที่เราคิดว่าเขาเป็นผู้รู้หลายคนว่า ชาวบ้านที่เรามาพัฒนาเขานี่ เขาด้อยโอกาสตรงไหน ท่านที่เราคิดว่าเป็นผู้รู้ตอบว่า เขาด้อยโอกาสในเรื่องของคุณภาพชีวิต ก็เห็นด้วยบางอย่าง แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือไปหลายเรื่องแล้ว

 

กลับมาคิดถึงพี่น้องเพื่อนฝูงที่อาศัยในเมือง หรืออาจจะเรียกว่าผู้เข้าถึงโอกาส เช้ามาต้องตาลีตาลานตื่น เพื่อที่จะมาให้ทันรถบริษัท ถ้าไม่ทันก็ต้องขับรถไปเอง ไปสติแตกกันกลางถนนเพราะรถติด ถึงที่พักอารมณ์ก็ขุ่นมัว เย็นก็ต้องผจณกันอีกแล้ว ถึงวันหยุดพักผ่อนก็มีห้างสรรพสินค้าให้จับจ่าย หรือเดินตากแอร์เย็นๆ อยู่ไม่ใกลบ้าน ช่วยกันใช้ช่วยกันสูดควันพิษ

ถ้าเราคิดในมุมกลับกัน คิดว่าคนในเมืองเป็นผู้ด้อยโอกาสบ้างล่ะ ด้อยโอกาสที่จะสัมผัสธรรมชาติ  ด้อยโอกาสที่จะสูดอากาศที่บริสุทธิ์ ด้อยโอกาสในการทำงานที่มีบรรยากาศที่ดี ฯลฯ

ไม่รู้จะมีองค์กรไหนมาเขียนโครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกลุ่มนี้บ้างเน๊าะ

 

"สหายใหม่" 10/02/52